การมีบ้านสักหลังเป็นความฝันของคนหลายคน แต่การผ่อนบ้านก็มาพร้อมกับภาระดอกเบี้ยที่สูงลิบ! วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับสองวิธีช่วยลดภาระดอกเบี้ยที่เจ้าของบ้านควรรู้ นั่นคือ Refinance และ Retention

Refinance คืออะไร?

Refinance คือการขอสินเชื่อบ้านใหม่จากธนาคารอื่น เพื่อปิดยอดหนี้เดิมและได้อัตราดอกเบี้ยที่ถูกลง วิธีนี้จะช่วยให้คุณจ่ายค่างวดน้อยลงและปิดหนี้บ้านได้เร็วขึ้น

ข้อดีของ Refinance:

  • ได้ดอกเบี้ยต่ำกว่าเดิม
  • ปิดบ้านได้เร็วขึ้น
  • เลือกเปรียบเทียบดอกเบี้ยได้หลายธนาคาร
  • บางทีอาจขอวงเงินกู้เพิ่มได้

แต่ก็มีข้อเสียนะ:

  • ต้องเตรียมเอกสารใหม่หมด
  • มีค่าธรรมเนียมเพิ่ม
  • ใช้เวลาพิจารณานานกว่า Retention

Retention คืออะไร?

Retention คือการขอลดดอกเบี้ยกับธนาคารเดิมที่คุณกู้อยู่ หลังจากผ่อนมาแล้ว 3 ปี คุณสามารถขอต่อรองดอกเบี้ยใหม่ได้

ข้อดีของ Retention:

  • ไม่ต้องยุ่งยากกับเอกสารเยอะ
  • รู้ผลเร็ว
  • ไม่ต้องประเมินราคาบ้านใหม่
  • ค่าธรรมเนียมน้อยกว่า Refinance

แต่ก็มีข้อเสียเหมือนกัน:

  • ดอกเบี้ยอาจลดลงไม่มากเท่า Refinance
  • อาจมีเงื่อนไขเพิ่มเติมจากธนาคาร

เปรียบเทียบตัวเลขจริง

ลองมาดูตัวอย่างจากธนาคารทหารไทยธนชาตกัน สมมติว่าคุณกู้เงิน 2,858,783 บาท ผ่อน 30 ปี จ่ายเดือนละ 12,600 บาท

Refinance:

  • ดอกเบี้ย 3 ปีแรก: 3.39% ต่อปี
  • ดอกเบี้ยปีที่ 4 เป็นต้นไป: 5.75% ต่อปี
  • ค่างวด 3 ปีแรก: 453,600 บาท (เงินต้น 184,478 บาท + ดอกเบี้ย 269,112 บาท)
  • ค่าจดจำนอง: 28,588 บาท (1% ของวงเงินกู้)

Retention:

  • ดอกเบี้ย 3 ปีแรก: 4.59% ต่อปี
  • ดอกเบี้ยปีที่ 4 เป็นต้นไป: 5.82% ต่อปี
  • ค่างวด 3 ปีแรก: 453,600 บาท (เงินต้น 69,843 บาท + ดอกเบี้ย 383,757 บาท)
  • ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม

Refinance ช่วยประหยัดดอกเบี้ยได้ 200,964 บาท ส่วน Retention ประหยัดได้ 86,319 บาท

สรุป

ทั้ง Refinance และ Retention ต่างก็มีข้อดีข้อเสียต่างกัน การเลือกวิธีไหนขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของแต่ละคน ถ้าคุณอยากประหยัดดอกเบี้ยเยอะๆ และไม่กลัวยุ่งยาก Refinance อาจเหมาะกว่า แต่ถ้าต้องการความรวดเร็วและไม่อยากวุ่นวายกับเอกสาร Retention ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน

สุดท้ายนี้ อย่าลืมเปรียบเทียบข้อเสนอจากหลายๆ ธนาคาร และพิจารณาให้รอบคอบก่อนตัดสินใจนะครับ! บ้านอาจเป็นหนี้ก้อนใหญ่ แต่ถ้าบริหารจัดการดีๆ ก็ไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอย่างที่คิด